ตูบตัวน้อยๆ น่ะไม่มีใครเหมือน แล้วก็ไม่เหมือนใครอยู่แล้ว
ตูบน้อยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เป็นนักสำรวจที่ชอบเรียนรู้สิ่งต่างๆ
ในบางครั้งที่สุนัขป่วย ต้องเข้ารับการรักษาตามคลีนิก หรือโรงพยาบาล
มักจะมีอาการป่วยด้วยภาวะโลหิตจาง ซึ่งอาจเกิดเนื่องมาจากการเสียเลือด
(เช่น จากอุบัติเหตุ การผ่าตัด) ภาวะไตวายเรื้อรัง ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกตัว
ความผิดปกติที่ไขกระดูก ฯลฯ การถ่ายเลือดจึงเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยยืดอายุของสัตว์ออกไปได้
ปัจจุบันการถ่ายเลือดในสุนัขนั้นทำกันน้อยมากในเมืองไทย
อันเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น ขาดแคลนสุนัขที่มีคุณสมบัติดีพอที่จะบริจาคเลือด
ขาดอุปกรณ์และสถานที่ซึ่งมีอุปกรณ์พร้อมที่จะทำการรับและถ่ายเลือด
ขาดผู้ชำนาญการในการทำการถ่ายเลือด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จึงมักเป็นสาเหตุให้สัตว์ป่วยหลายๆ
ราย ต้องจบชีวิตลงไปอย่างน่าเสียดาย
สำหรับสุนัขนั้นจะมีเลือดทั้งหมด 8 กลุ่มด้วยกัน แบ่งเป็น
DEA 1.1, 1.2 และ DEA 3-8 คำว่า DEA ย่อมาจาก Dog Erythrocyte
Amtigen ในการบริจาคเลือดนั้น สุนัขที่ตรวจพบว่ามีกลุ่มเลือด
DEA 1.1 ไม่ควรนำมาใช้เป็นผู้บริจาค เพราะเลือดของสุนัขกลุ่มนี้จะมีคุณสมบัติทำให้ร่างกายของสุนัขผู้รับเลือดสร้างภูมิต้านทาน
(Antibody) ขึ้นมาได้ง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากถ้าจะต้องทำการถ่ายเลือดซ้ำเป็นครั้งที่สอง
ส่วนเลือดกลุ่ม DEA 1.2 และ DEA 7 ก็มีคุณสมบัติคล้ายกับ
DEA 1.1 แต่ให้ผลรุนแรงน้อยกว่า ดังนั้นการตรวจกรุ๊ปเลือดเพื่อค้นหาว่าสัตว์มี
DEA 1.1 อยู่หรือไม่ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ปัจจุบันได้มีบริษัทต่างประเทศผลิตชุดทดสอบหมู่เลือด
DEA 1.1 ขึ้น ทำให้ลดความเสียหายในการถ่ายเลือดไปได้มาก
แต่ติดปัญหาอยู่ที่ราคายังค่อนข้างแพง
โดยทั่วไป ในสุนัขหนัก 1 กิโลกรัม จะมีเลือดอยู่เฉลี่ย
88 ซีซี ซึ่งเราต้องการเลือดแค่ประมาณ 20 ซีซี/กิโลกรัม
และในการถ่ายเลือดแต่ละครั้งควรให้ได้เลือดอย่างน้อย 500
ซีซี ดังนั้น น้ำหนักของสุนัขผู้บริจาคจึงไม่ควรต่ำกว่า
25 กิโลกรัม ส่วนในการบริจาคเลือดแต่ละครั้งควรห่างกันอย่างน้อย
3 สัปดาห์ ในการคัดเลือกสุนัขที่จะบริจาคนั้น ควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. ควรมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 25 กิโลกรัม (ขนาดยิ่งใหญ่
ยิ่งดี)
2. สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยเป็นโรคติดต่อ เช่น พยาธิเม็ดเลือด
พยาธิหนอนหัวใจ ฯลฯ และได้รับการฉีดวัคซีน และถ่ายพยาธิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
3. เป็นสุนัขที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้รับโภชนาการที่ถูกต้อง
และได้รับการออกกำลังกายเป็นประจำ
4. สุภาพ เรียบร้อย ใจดี (ถ้าเป็นสุนัขที่ดื้อและไม่ค่อยให้ความร่วมมือขณะบริจาคเลือด
อาจจำเป็นต้องใช้ยาซึม)
5. สุนัขเพศเมีย ถ้าทำหมันมาแล้วจะดีมาก
ในการถ่ายเลือดและให้เลือด คงต้องเป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์เป็นผู้ปฏิบัติ
โดยต้องตรวจหากรุ๊ปเลือดที่เป็นอันตรายกับผู้รับ และนำเลือดของผู้รับกับผู้ให้บริจาคมาตรวจดูว่าเข้ากันได้หรือไม่
ซึ่งเรียกว่า Cross Matching วิธีการเหล่านี้ต้องทำในห้องปฏิบัติการ
ส่วนอุปกรณ์การถ่ายเลือดนั้นก็คล้ายๆ กับของคน คือ ถุงเก็บเลือด
สารกันเลือดแข็งตัว และสายยางสำหรับให้เลือด พร้อมที่กรองเลือด
บางครั้งในการบริจาคเลือดเพื่อช่วยชีวิตสัตว์แบบฉุกเฉิน
อาจต้องใช้ผู้บริจาค 2-3 ราย เพราะไม่แน่เสมอไปว่าเลือดของผู้ให้และผู้รับจะเข้ากันได้
จึงควรสำรองเอาไว้ล่วงหน้า สำหรับสัตว์ที่มีปัญหาตกเลือด
อันเนื่องมาจากภาวะเกร็ดเลือดแข็งตัว การถ่ายเลือดจากผู้บริจาคใหม่ๆ
จะช่วยได้เป็นอย่างมาก (เกร็ดเลือดมีผลต่อกลไกการแข็งตัวของเลือด
โดยปกติเกร็ดเลือดจะสลายตัวเร็วมาก ใช้เวลาประมาณ 1 วัน
เมื่อถ่ายออกมาจากตัวผู้บริจาค) โดยทั่วๆ ไปเราสามารถเก็บสำรองเลือดไว้ใช้ได้ถึง
3 สัปดาห์ โดยจะเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส
ในการถ่ายเลือดให้กับผู้ป่วย ก่อนให้ทุกครั้งจะต้องทำการตรวจดูว่าเลือดของผู้ให้และผู้รับเข้ากันได้หรือไม่
ถึงแม้ว่าการถ่ายเลือดครั้งแรกมักจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาก็ตาม
(เพราะร่างกายของผู้รับยังไม่มีภูมิต้านทาน Antibody ต่อตัวผู้ให้)
ทำให้การถ่ายเลือดในครั้งที่สองไม่ประสบผลสำเร็จ
ส่วนอายุของเลือดที่ได้รับบริจาค ถ้าเป็นเลือดหมู่เดียวกันมักจะอยู่ได้ยาวนาน
แต่ถ้าเป็นเลือดคนละหมู่มักจะมีอายุสั้นและลดลงอย่างรวดเร็ว
จาก น.ส.พ. อภิชาติ จิรัฐติกาลกิจ
ร.พ. สัตว์เจริญสุข
|